วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

[บทความ] อานิสงส์บูชาด้วย "ดอกอโศก" เป็นพุทธบูชา




...อโศกสปัน... มีถิ่นกำเนิด ในประเทศเวเนซูเอล่าจึงมีชื่อเรียกอีอย่างหนึ่งว่า...Rose of Venezuela...จะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธุ์ ในบริเวณ...พระวิหาร "พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า"... วัตรทรงธรรมกัลยาณี จังหวัดนครปฐม มีต้นอโศกสบันอยู่หลายต้น กำลังออกดอกเบ่งบานสวยงามน่าชมทีเดียว มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับดอกอโศก
กล่าวกันว่าต้นอโศกเป็นต้นไม้ที่มีรูปทรงสวยงามราวกับสถูป ในอินเดียถือว่า ‘อโศก’ เป็นสัญลักษณ์ของความรัก และมักใช้...ดอกอโศก...ถวายพระกามเทพ...

‘อโศก’ ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ชื่อของต้นไม้เท่านั้น แต่ยังเป็นชื่อของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งอินเดียนั่นก็คือ ‘พระเจ้าอโศกมหาราช’ กษัตริย์นักรบนักรักผู้ยุติการทำสงคราม และหันมาใฝ่พระทัยในพุทธศาสนา ทรงใช้ธรรมะปกครองบ้านเมือง และทรงอุปถัมภ์บำรุงและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่าเป็นยุคที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองทั่วชมพูทวีป และแผ่กว้างไกลออกไปในต่างแดนอีกด้วย

ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ มีเรื่องราวที่กล่าวไว้เกี่ยวกับดอกอโศกว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงนุ่งสบงห่มจีวรในตอนเช้า ถือบาตร เสด็จเข้าไปยังปะรำที่ตกแต่งประดับประดาดุจเทพวิมาน ยังห้วงอรรณพให้สว่างไสวดุจมีรัศมีตั้งพันดวง ประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูไว้ อุบาสกได้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยของหอม ดอกไม้ธูปและประทีป.

สมัยนั้น หญิงหาฟืนคนหนึ่ง เห็นต้นอโศกมีดอกบานสะพรั่งในนันทนวัน จึงถือเอาดอกอโศกเป็นอันมากทำเป็นช่อพร้อมด้วยขั้วและก้านเดินมาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ที่นั้น มีจิตเลื่อมใส จึงเอาดอกไม้เหล่านั้นปูลาดเป็นเครื่องลาดดอกไม้โดยรอบอาสนะ ทำการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทำประทักษิณ ๓ รอบถวายนมัสการกลับไป.

ครั้นต่อมา นางได้ถึงแก่กรรมไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร โดยมากนางฟ้อนรำขับร้องอยู่ที่สวนนันทนวัน ร้อยกรองมาลัยดอกไม้ปาริฉัตตกะรื่นเริงบันเทิง เล่นกีฬาเสวยแต่ความสุข.

ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว ครั้นเห็นเทพธิดานั้น จึงถามถึงกรรมที่เทพธิดานั้นว่า

ดูก่อนเทพธิดา ท่านมาเก็บดอกไม้สวรรค์ปาริฉัตตกะ หอมหวนน่ารื่นรมย์มาร้อยกรองเป็นมาลัยทิพย์ ขับร้องสำเริงอยู่ เมื่อท่านกำลังฟ้อนรำอยู่เสียงทิพย์น่าฟังวังเวงใจ เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ พร้อม ๆ กัน ทั้งกลิ่นทิพย์หอมหวนยวนใจก็ฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุก ๆ ส่วน เมื่อท่านไหวกายไปมาเสียงเครื่องประดับอันท่านประดับไว้ที่ช้องผมทุก ๆ ส่วน ถูกลมพัดมาต้องเข้าก็เปล่งเสียงไพเราะคล้ายดนตรีเมื่อท่านกำลังฟ้อนรำอยู่

อนึ่ง พวกมาลัยคล้องเศียรทั้งที่ไม่ถูกลม ทั้งที่ถูกลมก็ยังไหวได้ เสียงมาลัยประดับเศียรที่ถูกลมพัดต้องเข้าแล้วก็กังวานไพเราะคล้ายกับเสียงดนตรี แม้กลิ่นดอกไม้ที่ท่านสอดแซมไว้บนผมก็มีกลิ่นหอมหวนน่าชื่นใจฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ดุจไม้สวรรค์มีดอกบานสะพรั่ง ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางบริเวณที่ทำอุโบสถของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เขาคันธมาทน์ มีดอกหอมทั้งในเทวโลกและมนุษยโลก ดอกไม้เหล่านั้นเกิดที่ปลายกิ่งของต้นไม้นั้น มีกลิ่นแผ่ซ่านไปหลายโยชน์ ด้วยเหตุนั้นไม้สวรรค์จึงมีกลิ่นหอมยิ่งนักฟุ้งไปทั่วทิศฉันใด เหมือนกลิ่นของมาลัยทิพย์ประดับบนเศียรของท่านนั้นฟุ้งไปทั่วทิศ

ดูก่อนเทพธิดาอาตมาถามแล้วขอท่านจงบอกว่านี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร?

เทพธิดาจึงตอบว่า ดิฉันได้น้อมนำเอา...ดอกอโศก...ซึ่งมีเกสรงามเลื่อมประภัสสรมีกลิ่นหอมฟุ้งไปบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยกุศลกรรมนี้ทำให้ดิฉันปราศจากความโศก ไม่มีโรค รื่นเริงบันเทิงอยู่เป็นนิตย์...เมื่อดิฉันถึงแก่กรรมก็ได้มาบังเกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร โดยมากนางฟ้อนรำขับร้องอยู่ที่สวนนันทนวัน ร้อยกรองมาลัยดอกไม้ปาริฉัตตกะรื่นเริงบันเทิง เล่นกีฬา เสวยแต่ความสุขดังที่พระคุณเจ้าเห็นนี้แล....






อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปาริฉัตตกวรรคที่ ๓
๑๐. ปาริฉัตตกวิมาน

อรรถกถาปาริฉัตตกวิมาน 


ปาริฉัตตกวิมาน มีคาถาว่า ปาริจฺฉตฺตเก โกวิฬาเร ดังนี้เป็นต้น.
ปาริฉัตตกวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถี.

สมัยนั้น อุบาสิกาคนหนึ่งอยู่ในกรุงสาวัตถี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า นิมนต์ฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น จึงจัดปะรำใหญ่ใกล้ประตูเรือนของตนวงม่านโดยรอบ ผูกเพดานเบื้องบน ยกธงชัยและธงแผ่นผ้าเป็นต้น แขวนผ้าสีสดสวยต่างๆ และพวงของหอม พวงดอกไม้ พวงมาลัย ปูลาดอาสนะ ณ สถานที่ราบเรียบแล้ว กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าตามกำหนดเวลา.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ในตอนเช้าทรงนุ่งสบงห่มจีวร ถือบาตร เสด็จเข้าไปยังปะรำที่ตกแต่งประดับประดาดุจเทพวิมาน ยังห้วงอรรณพให้สว่างไสวดุจมีรัศมีตั้งพันดวง ประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูไว้.
อุบาสกได้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยของหอม ดอกไม้ธูปและประทีป.

สมัยนั้น หญิงหาฟืนคนหนึ่งเห็นต้นอโศกมีดอกบานสะพรั่งในนันทนวัน จึงถือเอา...ดอกอโศก...เป็นอันมากทำเป็นช่อพร้อมด้วยขั้วและก้าน เดินมาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ที่นั้น มีจิตเลื่อมใส จึงเอาดอกไม้เหล่านั้นปูลาดเป็นเครื่องลาดดอกไม้โดยรอบอาสนะ ทำการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทำประทักษิณ ๓ รอบถวายนมัสการกลับไป.

ครั้นต่อมา นางได้ถึงแก่กรรมไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร โดยมากนางฟ้อนรำขับร้องอยู่ที่สวนนันทนวัน ร้อยกรองมาลัยดอกไม้ปาริฉัตตกะรื่นเริงบันเทิง เล่นกีฬา เสวยแต่ความสุข.

ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว ครั้นเห็นเทพธิดานั้น จึงถามถึงกรรมที่เทพธิดานั้นได้ทำมาด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

ดูก่อนเทพธิดา ท่านมาเก็บดอกไม้สวรรค์ปาริฉัตตกะ หอมหวนน่ารื่นรมย์มาร้อยกรองเป็นมาลัยทิพย์ ขับร้องสำเริงอยู่ เมื่อท่านกำลังฟ้อนรำอยู่เสียงทิพย์น่าฟังวังเวงใจ เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่พร้อมๆ กัน ทั้งกลิ่นทิพย์หอมหวนยวนใจ ก็ฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกๆ ส่วน เมื่อท่านไหวกายไปมา เสียงเครื่องประดับอันท่านประดับไว้ที่ช้องผมทุกๆ ส่วน ถูกลมพัดมาต้องเข้า ก็เปล่งเสียงไพเราะคล้ายดนตรีเครื่อง ๕.

อนึ่ง เสียงมาลัยประดับเศียรที่ถูกลมพัดต้องเข้าแล้วก็กังวานไพเราะคล้ายกับเสียงดนตรีเครื่อง ๕ แม้กลิ่นดอกไม้ที่ท่านสอดแซมไว้บนผม ก็มีกลิ่นหอมหวนน่าชื่นใจ ฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ดุจไม้สวรรค์ฉะนั้น ท่านสูดดมกลิ่นอันหอมหวนนั้น ทั้งได้เห็นรูปทิพย์อันมิใช่ของมนุษย์.

ดูก่อนเทพธิดา อาตมาถามแล้ว ขอท่านจงบอกว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปาริจฺฉตฺตเก โกวิฬาเร โยชนาแก้ว่า เทพธิดาถือเอาดอกไม้สวรรค์อันมีชื่อว่าปาริฉัตตกะ. ชาวโลกเรียกดอกไม้สวรรค์ว่าปาริชาต แต่ในภาษามคธเรียกว่าปาริฉัตตกะ. ส่วนโกวิฬาโรเป็นกำเนิดของดอกไม้สวรรค์ ทั้งในมนุษยโลก ทั้งในเทวโลก เรียกว่าโกวิฬาร. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เป็นกำเนิดของดอกไม้สวรรค์นั้น.

ก็ในเวลาที่เทพธิดานั้นฟ้อน เสียงไพเราะเพราะพริ้งเปล่งออกจากสรีระอันเป็นส่วนของอวัยวะ และจากเครื่องประดับ. แม้กลิ่นก็ซ่านออกไปทั่วทุกทิศ.

ด้วยเหตุนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า ตสสฺา เต นจฺจมานาย เมื่อท่านกำลังฟ้อนรำอยู่.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สวนียา ได้แก่ ควรฟัง หรือเป็นประโยชน์แก่การฟัง. อธิบายว่า สบายหู.
บทว่า วิวตฺตมานา กาเยน ได้แก่ กาย คือสรีระของท่านไหวไปมา.
บทว่า วิวตฺตมานา กาเยน นี้เป็นตติยาวิภัตติลงในอิตถัมภูต (มี).
บทว่า ยา เวณีสุ ปิลนฺธนา ได้แก่ เครื่องประดับที่ช้องผมของท่าน. พึงเห็นว่า ในบทนี้ ลบวิภัตติหรือเป็นลิงควิปลาส.
บทว่า วฏํสกา ได้แก่ พวงมาลัยคล้องเศียรเป็นช่อทำด้วยแก้ว.
บทว่า วาตธุตา ได้แก่ ถูกลมอ่อนพัดมาต้องเข้า.
บทว่า วาเตน สมฺปกมฺปิตา ได้แก่ ถูกลมพัดไปโดยรอบๆ โดยเฉพาะ.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า วฏํสกา วาตธุตา วาเตน สมฺปกมฺปิตา ได้แก่ พวงมาลัยคล้องเศียร ทั้งที่ไม่ถูกลม ทั้งที่ถูกลม ก็ยังไหวได้. ประกอบความว่า มาลัยประดับเศียรนั้น ฟังแล้วมีเสียงก้องกังวาน.
บทว่า วาติ คนฺโธ ทิสา สพฺพา ได้แก่ กลิ่นของมาลัยทิพย์บนเศียรของท่านนั้นฟุ้งไปทั่วทิศ.

ถามว่า เหมือนอะไร.

ตอบว่า เหมือนไม้สวรรค์. ความว่า เหมือนไม้สวรรค์มีดอกบานสะพรั่ง มีกลิ่นแผ่ซ่านไปหลายโยชน์ ฟุ้งไปทั่วทิศฉันใด กลิ่นของมาลัยเครื่องประดับเศียรของท่านก็ฉันนั้น.

นัยว่า ต้นไม้นั้นขึ้นอยู่ท่ามกลางบริเวณที่ทำอุโบสถของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เขาคันธมาทน์ มีดอกหอมทั้งในเทวโลก และมนุษยโลก ดอกไม้เหล่านั้นเกิดที่ปลายกิ่งของต้นไม้นั้น. ด้วยเหตุนั้น ไม้สวรรค์จึงมีกลิ่นหอมยิ่งนัก เหมือนกลิ่นของมาลัยที่เทพธิดานั้นประดับ. ฉะนั้น พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวว่า รุกฺโข มญฺชุสโก ยถา เหมือนต้นไม้สวรรค์.

ก็เพราะอารมณ์ทั้งหลายในที่นั้น แม้ทั้งหมดนั้นเป็นปิยรูปอย่างเดียว เพราะสวรรค์นั้นมีผัสสายตนะ ๖ ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวว่า ฆายเส ตํ สุจิคนฺธํ รูปํ ปสฺสสิ อมานุสํ ความว่า ท่านสูดดมกลิ่นอันหอมหวนนั้น ทั้งได้เห็นรูปทิพย์อันมิใช่ของมนุษย์ เพราะคันธรูป (กลิ่นหอม) อันเป็นของวิเศษที่เทพธิดานั้นได้.

เทพธิดาจึงตอบด้วยคาถา ๒ คาถาว่า

ดีฉันได้น้อมนำเอาดอกอโศกซึ่งมีเกสรงามเลื่อมประภัสสร มีกลิ่นหอมฟุ้งไปบูชาพระพุทธเจ้า ครั้นดีฉันทำกุศลกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญแล้ว จึงปราศจากความโศก ไม่มีโรค รื่นเริงบันเทิงอยู่เป็นนิตย์.

เทพธิดากล่าวว่า ปภสฺสรํ อจฺจิมนฺตํ เกสรงามเลื่อมประภัสสรเป็นต้น หมายถึง...ดอกอโศก...เป็นดอกไม้สูงสุด ดุจข่ายรัศมีดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่ในครั้งนั้น เพราะมีเกสรดอกไม้เกิดขึ้น คล้ายก้อนแก้วประพาฬที่ขัดสีดีแล้ว.

บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.



จบอรรถกถาปาริฉัตตกวิมาน


------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น